เศรษฐี ประคองเวช นักกอล์ฟวัย 27 ปีจากชลบุรี ซึ่งกำลังลุ้นแชมป์ไทยแลนด์พีจีเอทัวร์รายการแรกหวด 4 อันเดอร์พาร์ 67 เป็นวันที่สองติดต่อกันพร้อมขยับขึ้นนำร่วมกับ สาริศ สุวรรณรัตน์ และ เยเทตอ่อง จากเมียนมาร์ ที่สกอร์รวม 8 อันเดอร์พาร์ 134 จบรอบที่สอง ในศึกกอล์ฟอาชีพรายการ “สิงห์-เอสเอที บลูแคนยอน แชมเปี้ยนชิพ 2021” ชิงเงินรางวัลรวม 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนึ่งใน 4 รายการช่วงแซนด์บ็อกซ์สวิง ที่สนามบลูแคนยอน คันทรี่คลับ ฝั่งเลคคอร์ส ระยะ 7,061 หลา พาร์ 71 จ.ภูเก็ต เมื่อ 18 กันยายน 2564
สมาคมกีฬากอล์ฟอาชีพแห่งประเทศไทย จัดแข่งขันรายการนี้ ได้รับการสนับสนุน จากการกีฬาแห่งประเทศไทย, กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ, บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จัด เก็บคะแนนสะสม ออร์เดอร์ ออฟ เมอริต รายการที่สองของไทยแลนด์พีจีเอทัวร์ฤดูกาลนี้ ชิงเงินรางวัลรวม 2 ล้านบาท เป็นสัปดาห์แรกของโครงการ แซนด์บ็อกซ์ สวิง จากการสนับสนุนของทางจังหวัดภูเก็ต แข่งขันระบบปิดไม่มีคนดู เน้นมาตรการความปลอดภัยการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 โดยนักกอล์ฟและเจ้าหน้าที่ทุกคน รวมถึงแคดดี้และผู้ติดตาม ต้องตรวจหาเชื้อแบบ เอทีเค ทุกๆ 5 วัน ตามมาตรการที่กำหนด ขณะที่เจ้าหน้าที่ปฏบัติงานยังต้อง สแกนคิวอาร์โค้ด กรอกแบบสอบถามประจำวันเพื่อประเมินความเสี่ยงติดเชื้ออีกด้วย
รอบสองของการแข่งขันเมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา เศรษฐี ประคองเวช นักกอล์ฟวัย 27 ปีจากชลบุรียังโชว์ผลงานได้อย่างสม่ำเสมอด้วยการหวด 4 อันเดอร์พาร์ 67 เป็นวันที่สองติดต่อกันจาก 1 อีเกิล 5 เบอร์ดี้ 1 โบกี้และ 1 ดับเบิลโบกี้ รวมสองวันนำการแข่งขันร่วมกับ สาริศ สุวรรณรัตน์ และ เยเทตอ่อง จากเมียนมาร์ด้วยสกอร์รวม 8 อันเดอร์พาร์ 134
เศรษฐี ประคองเวช ที่กำลังลุ้นแชมป์ไทยแลนด์พีจีเอทัวร์รายการแรกในชีวิตหลังจาก 2-3 ปีที่ผ่านมาจบการแข่งขันด้วยการได้อันดับสองหรือสองร่วมมาถึงสี่รายการกล่าวว่า “สองวันแรกโดยรวมเกมดีอยู่แล้ว ตีไม่ค่อยหลุดแม้อาจจะมีผิดพลาดบ้าง สำหรับวันนี้ส่วนใหญ่แล้วพัตต์ดีครับ เล่นได้ดีแล้วแอพโพรชโอเค เหมือนทุกอย่างมาพร้อมกันเลยทำให้สกอร์ออกมาดี”
นักกอล์ฟวัย 27 ปีจากชลบุรียังกล่าวถึงโอกาสลุ้นแชมป์ไทยแลนด์พีจีเอทัวร์รายการแรกในชีวิตด้วยว่า “คิดว่าจะเล่นให้ดีที่สุดครับ เล่นตามที่เราซ้อมมา ผลจะเป็นอย่างไรค่อยว่ากันอีกที รอบสุดท้ายผมคิดว่ามีปัจจัยหลายอย่างนะ ที่สำคัญคือต้องไดร์ฟให้อยู่ก่อน ที่นี่ถ้าไดร์ฟไม่อยู่มันมีปัญหาเยอะ ที่สำคัญคือต้องเสียน้อยและต้องทำเบอร์ดี้ให้ได้ระดับหนึ่งเลยครับ”
ส่วน สาริศ สุวรรณรัตน์ นักกอล์ฟวัย 23 ปีจากกรุงเทพฯ ที่นำการแข่งขันหลังจบรอบแรกเข้ารอบสองเก็บเพิ่มอีก 2 อันเดอร์พาร์ 69 จาก 4 เบอร์ดี้ 2 โบกี้กล่าวว่า “ออกสตาร์ตไม่ค่อยดีครับ เก้าหลุมแรกเสิร์ฟพลาดค่อนข้างเยอะ จริงๆไม่เยอะแต่พลาดแล้วเสียโบกี้เลย ทำเกมไม่ค่อยได้บวกกับวันนี้พัตต์ไม่ค่อยลงด้วย แต่ยังดีที่เข้าเก้าหลุมลังตีเหล็กดีขึ้น แล้วเสิร์ฟดีขึ้นเลยกลับมาได้ลบสอง”
สาริศเจ้าของแชมป์ไทยแลนด์พีจีเอทัวร์ 2 รายการเมื่อปี 2019 ยังได้กล่าวถึงการเล่นในสัปดาห์นี้ของเขาว่า “ก็ค่อนข้างพอใจครับ พอใจกับตัวเองที่สามารถเร่งเกมได้ คุมตัวเองให้เล่นทีล่ะช็อต สำหรับรอบสุดท้ายยังเสิร์ฟไม่ค่อยดีอาจจะต้องมีแก้นิดหน่อย รวมถึงเรื่องอ่านไลน์ด้วย อ่านไม่ค่อยขาดเลยพัตต์ไม่ค่อยลง”
ขณะที่ เยเทตอ่อง นักกอล์ฟวัย 28 เมียนมาร์ที่ทำผลงานดีที่สุดในไทยแลนด์พีจีเอทัวร์ด้วยการออกก๊วนสุดท้ายในวันสุดท้ายหลังจบรอบสองเข้ามา 3 อันเดอร์พาร์ 68 รวมสองวันนำร่วมที่สกอร์ 134 กล่าวว่า “เมื่อวานผมจบอันดับสองตามหลังผู้นำสโตรกเดียว มาวันนี้ผมพยายามมีสมาธิกับเกมแพลนตัวเอง พยายามโฟกัสกับในทุกทีช็อตโดยไม่คิดถึงเรื่องที่จะพยายามทำเบอร์ดี้หรืออะไร รอบสุดท้ายก็คงแผนเดิม โฟกัสกับทีช็อตให้อยู่ในแฟรเวย์ มีสมาธิกับทุกช็อตที่จะเล่น และอยู่ในเกมแพลนตัวเองให้ได้”
ตามหลังกลุ่มผู้นำหนึ่งสโตรกด้วยสกอร์รวม 7 อันเดอร์พาร์ 135 ตามเข้ามาเท่ากันอีก 3 คน ประกอบด้วย ถิรวัฒน์ แก้วศิริบัณฑิต ที่กดเข้ามา 3 อันเดอร์พาร์ 68, วันชัย หลวงนิติกุล ที่ทำเพิ่มอีก 2 อันเดอร์พาร์ 69 และ สุทธินันท์ ปัญโญ นักกอล์ฟสมัครเล่นทีมชาติไทยชุดปัจจุบัน เก็บเข้ามา 4 เบอร์ดี้แบบไม่มีโบกี้และจบรอบด้วยสกอร์ 4 อันเดอร์พาร์ 67 เป็นรอบที่สองติดต่อกัน
ส่วน ภูมิ ศักดิ์แสนศิลป์ ทำเพิ่มอีก 4 อันเดอร์พาร์ 67 รวมสองวัน 6 อันเดอร์พาร์ 136 เท่ากับ โคสุเก ฮามาโมโต้ ที่หวดเข้ามาอีก 67 สำหรับ วรัญญู รัตน์ไพบูลย์กิจ, นิวพอร์ต ลาภาโรจน์กิจ, ศรัณย์ ศิริธร, ดลภัทรไชย นิยมชน และ นิติธร ทิพย์พงษ์ มีคนละ 5 อันเดอร์พาร์ 137